โหมด DRY vs COOL บนรีโมทแอร์ โหมดไหนประหยัดไฟกว่ากัน

Facebook Twitter Email
โหมด DRY vs COOL บนรีโมทแอร์ มีไว้ทำไม ? ใช้ยังไง ?
แล้วโหมดไหนประหยัดไฟมากกว่ากัน ?

 
          หลาย ๆ คนคงสังเกตเห็นโหมด DRY และโหมด COOL บนรีโมทแอร์กันใช่มั้ยครับ ? โดยทั่วไปแล้ว โหมดการทำงานพื้นฐานของรีโมทแอร์จะมีอยู่ 4 โหมดด้วยกัน ได้แก่ โหมด Auto, โหมด Cool, โหมด Fan และโหมด Dry แต่ถ้าบ้านไหนติดแอร์รุ่นใหม่ ๆ สมัยนี้ ก็อาจเพิ่มโหมด Heat เข้ามาเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันของรีโมทแอร์ครับ แต่ทั้ง 2 โหมดที่ว่านั้นมีไว้เพื่ออะไร แตกต่างกันอย่างไร ? และโหมดไหนจะประหยัดไฟมากกว่ากัน ? มาทำความรู้จักไปพร้อม ๆ กันเลยครับ
          โหมด DRY แปลตรงตัวเลยก็คือ “โหมดทำความแห้ง” หรือ “โหมดดูดความชื้น” ในบางวันที่ฝนตกหนัก ๆ หรืออากาศหนาว ทำให้เวลาอยู่ในห้องแอร์แล้วเกิดรู้สึกอึดอัด นั่นเป็นเพราะค่าความชื้นในอากาศนั้นสูงขึ้นครับ ซึ่งโดยปกติแล้ว แอร์จะลดความชื้นในอากาศอยู่แล้ว เมื่อใดก็ตาม ที่ไอน้ำที่ลอยอยู่ในอากาศมาเจอกับความเย็นจัดที่แผงคอยล์เย็น ก็จะเกิดความควบแน่น รวมเป็นน้ำที่หยดลงบนถาดรองน้ำแอร์ และไหลออกไปทางท่อน้ำทิ้ง ซึ่งจะทำให้อากาศในห้องแห้งลงครับ อย่างไรก็ตาม เวลาที่ฝนตก อากาศจะเย็นอยู่แล้ว แอร์ที่เปิดไว้ทำงานได้ไม่นานก็จะตัด นอกจากความชื้นยังไม่ทันออกไปแล้ว ยังทำให้รู้สึกอัดอัดมากขึ้นด้วยครับ โหมด DRY นี้ จึงมีไว้เพื่อควบคุมความชื้นในอากาศ และทำให้แผงคอยล์เย็นที่สุดเพื่อรีดความชื้นออกไปให้ได้มากที่สุด โดยไม่สนใจตัวเลขอุณหภูมิ ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากโหมดทั่วไป หรือโหมด COOL เพราะ โหมด COOL มีหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิ แอร์จะตัดตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ หากอุณภูมิต่ำกว่า ก็จะไม่ทำงาน คือ ไม่ทำทั้งความเย็นและไม่รีดความชื้น มีแต่พัดลมที่ทำงาน เหมาะสำหรับตอนที่อากาศร้อน ๆ นั่นเองครับ
          แต่ถ้าถามผมว่าโหมดไหนประหยัดไฟมากกว่ากัน ? ก็ต้องเป็นโหมด DRY แน่นอนครับ เพราะพัดลมแอร์ไม่ได้ทำงานเพื่อดูดลมร้อนเข้ามาตลอดเวลาเหมือนกับโหมด COOL แต่ประเทศไทยมีสภาพอากาศที่ร้อนเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เราไม่มีโอกาสได้เปิดโหมด DRY บ่อยมากนัก ยกเว้นแต่ในวันที่ฝนตก หรืออากาศเย็น ถ้าเป็นวันที่ร้อนแบบทั่วไปก็เปิดเป็นโหมดปกติ หรือโหมด COOL นั่นเองครับ

ไอเดียแต่งบ้าน